 ข้าวลูกผสม "เล้าแตก-แม่งามงอน" พันธุ์ใหม |  | | "การเรียนรู้ และลองผิดลองถูก" จึงได้รับการยกย่องให้เป็นปราชญ์พื้นบ้าน ผู้เชี่ยวชาญด้านข้าวแห่งท้องทุ่งเมืองสุพรรณ
| | ลุงทองเหมาะ แจ่มแจ้ง ทำนาปลูกข้าวบนเนื้อที่ 3 ไร่ โดยใช้ความรู้ผสมผสานภูมิปัญญาชาวบ้าน เริ่มตั้งแต่การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์โดยนำเมล็ดข้าวเปลือกมาแกะให้เป็นเมล็ดข้าวสารและไม่ให้จมูกข้าวหัก ทำการคัดเมล็ดที่สมบูรณ์ไปเพาะขยายพันธุ์ ทำให้มีผลผลิตเฉลี่ย 800 กิโลกรัมต่อไร่ มีรายได้เฉลี่ย 300,000 บาทต่อครั้ง |
และยังมีจิตใจเผื่อแผ่ไปยังเกษตรกรทั่วไป โดยใช้บ้านเป็นโรงเรียนเพื่อให้ความรู้แก่ผู้สนใจ และเป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้ตามที่รับเชิญไปทั่ว ซึ่งเป็นวิทยากรหนึ่งในการขยายเครือข่ายการทำนาแบบอินทรีย์ไปยังเกษตรกรอื่น ๆ พร้อมกับคำขวัญของตัวเองที่ว่า ขยัน ประหยัด อดทน เสียสละ จะช่วยครอบครัว ช่วยสังคม และประเทศชาติได้
จาก http://www.dailynews.co.th/dailynews/pages/front_th/popup_news/Default.aspx?ColumnId=21726&NewsType=2&Template=2 |  | |
แม้วุฒิการศึกษาระบุว่า ทองเหมาะ แจ่มแจ้ง มีความรู้เพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 แต่หลักฐานดังกล่าว ไม่สามารถชี้วัดภูมิปัญญาและ ความสามารถที่แท้จริงของลูกชาวนาแห่งเมืองขุนแผนผู้นี้ได้ดีเท่ากับ ความสำเร็จในประกอบวิชาชีพของเขา
| | เนื่องจากทั้งชีวิตของ ทองเหมาะ คือ "การเรียนรู้ และลองผิดลองถูก" จึงได้รับการยกย่องให้เป็นปราชญ์พื้นบ้าน ผู้เชี่ยวชาญด้านข้าวแห่งท้องทุ่งเมืองสุพรรณ และเมื่อไม่นานมานี้ เขาได้ทดลองผสมพันธุ์ข้าว เพื่อให้เหมาะกับการทำนาแบบเกษตรอินทรีย์ โดยนำข้าวเจ้า "พันธุ์แม่งามงอน" และข้าวเหนียว "พันธุ์เล้าแตก" ผสมกันจนเกิดข้าวพันธุ์ใหม่ มีคุณสมบัติให้ผลผลิตต่อรวงสูง เมล็ดยาว และกลิ่นหอม
ปฐมบทของการทดลองกระทั่งได้ข้าวลูกผสมพันธุ์ใหม่นี้ ทองเหมาะ บอกว่า เริ่มจากตัดสินใจนำระบบเกษตรอินทรีย์มาทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมี บนผืนนาราว 30 ไร่ ที่ ต.วังหว้า อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี เมื่อประมาณ 10 ปีก่อน โดยยึดหลักการทำนาแบบพึ่งพาตัวเอง ทั้งการคัดเมล็ดพันธุ์ ทำปุ๋ยอินทรีย์และน้ำหมักชีวภาพใช้เอง รวมทั้งขายผลผลิตเองโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง
อย่างไรก็ตาม ทองเหมาะ ยอมรับว่า การทำเกษตรอินทรีย์ ช่วยลดต้นทุนได้กว่าเท่าตัว และส่งผลดีต่อสุขภาพชาวนาก็จริง แต่มีจุดด้อยคือให้ผลผลิตต่ำกว่าการใช้ปุ๋ยเคมี ซึ่งมีปัจจัยสำคัญอยู่ที่ยังไม่มีเมล็ดพันธุ์ข้าวเหมาะสำหรับการทำนาแบบเกษตรอินทรีย์โดยเฉพาะ
"ผมว่ามันเป็นเรื่องประหลาด ที่รัฐบาลเร่งส่งเสริมให้ชาวนาทั่วประเทศหันมาทำเกษตรอินทรีย์ แต่ไม่มีการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมเลย อย่างเมล็ดพันธุ์ที่ขายกันอยู่ขณะนี้ ล้วนทำมาเพื่อให้สอดคล้องการใช้ปุ๋ยเคมีทั้งสิ้น เมื่อเกษตรกรบำรุงต้นข้าวด้วยปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ผลผลิตจึงได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เหตุนี้ผมจึงต้องเพาะพันธุ์ข้าวเอง ตามแนวทางของตัวเอง" เกษตรกรวัย 61 ปี กล่าว
เมื่อความคิดตกผลึกต่อมาเมื่อปี 2544 ทองเหมาะ ได้ทดลองนำเมล็ดพันธุ์ข้าวเจ้า "พันธุ์แม่งามงอน" จุดเด่นเมล็ดสวยเรียวยาว หุงแล้วนิ่มและมีกลิ่นหอม เพื่อนำมาผสมกับข้าวเหนียว "พันธุ์เล้าแตก" ที่ให้ผลผลิตสูงเฉลี่ย 600 เมล็ดต่อรวง
ทองเหมาะ เปิดเผยเทคนิคการผสมพันธุ์ข้าวตัวใหม่ว่า ก่อนอื่นต้องคัดเอาเมล็ดที่ดีที่สุดของแต่ละสายพันธุ์ก่อน โดยใช้มือแกะเปลือกข้าวออก จนเหลือแต่ข้าวสาร และระวังอย่าให้จมูกข้าวหัก แล้วคัดเอาเมล็ดที่มีตำหนิอย่างท้องลาย หรือเมล็ดคดต้องทิ้งให้หมด เพราะมีเปอร์เซ็นต์การงอกต่ำ จากนั้นนำไปหว่านในแปลง เมื่อต้นกล้าโตจึงย้ายมาปลูก แล้วผสมพันธุ์กันในแปลงสาธิตต่อไป พร้อมทั้งบำรุงด้วยปุ๋ยชีวภาพตามสูตรที่เขาทำเอง
"ผลปรากฏว่า หลังจากที่ทำลองมาแล้ว 3 ฤดูกาล สามารถนำจุดเด่นของข้าวทั้ง 2 พันธุ์ มารวมไว้ในข้าวพันธุ์ใหม่นี้ คือ เมล็ดยาวถึง 13 มิลลิเมตร ให้ผลผลิตกว่า 500 เมล็ดต่อรวง ล่าสุดเตรียมนำข้าวเจ้าพันธุ์มูเซอมาผสมเพื่อให้หุงขึ้นหม้อ ซึ่งคาดว่าเมื่อการทดลองครบ 8 ฤดูกาล ข้าวตัวใหม่นี้สายพันธุ์คงนิ่งแล้ว" ทองเหมาะ กล่าวอย่างมั่นใจ
นับเป็นอีกความหวังของชาวนาไทย ที่จะมีข้าวพันธุ์ดีไว้สำหรับเพาะปลูกในระบบเกษตรอินทรีย์ และด้วยความเป็นนักคิดนักปฏิบัตินี่เอง "ทองเหมาะ แจ่มแจ้ง" จึงได้รับการยกย่องเป็น "ครูภูมิปัญญาไทย" รุ่นที่ 4 ของสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ พร้อมทั้งพ่วงท้ายด้วยตำแหน่งเกษตรกรดีเด่น สาขาทำนา ประจำปี 2548 ของ จ.สุพรรณบุรี
ที่มา : คอลัมน์คิดเองทำเอง นสพ.คมชัดลึก 11 ต.ค.48 www.komchadluek.net |
|
ติดประกาศ Monday 02 Apr 07@ 13:19:04 ICT โดย admin
|
|
| |
คะแนนของบทความ |
คะแนนเฉลี่ย: 0 จำนวนผู้ลงคะแนน: 0
|
|
|